โคโรนาไทน์ในฐานะสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชชนิดใหม่ มีหน้าที่ทางสรีรวิทยาที่สำคัญและคุณค่าการนำไปใช้งานที่หลากหลาย หน้าที่หลักของสารควบคุมการเจริญเติบโตของพืชมีดังนี้โคโรนาไทน์:
1.
เสริมสร้างความต้านทานต่อความเครียดของพืช: โคโรนาทีนสามารถควบคุมการเจริญเติบโตของพืช กระตุ้นการสร้างปัจจัยต้านทานในพืช และเพิ่มความต้านทานของพืช โคโรนาทีนสามารถทำงานได้ในความเข้มข้นที่ต่ำมาก ช่วยลดความเสียหายที่พืชได้รับในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น อุณหภูมิต่ำ อุณหภูมิสูง ความเค็มและด่าง และภัยแล้ง
2.
การปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร: โคโรนาทีนกระตุ้นกระบวนการสังเคราะห์ทางชีวภาพของแอนโทไซยานิน แอนโทไซยานิน ฯลฯ ในพืชผล โดยการกระตุ้นการแสดงออกของยีนพืช จึงช่วยเพิ่มการสะสมของแอนโทไซยานินระดับสูงในเปลือกและเนื้อของผล ในขณะเดียวกัน การเพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงของพืชผลและเพิ่มการสะสมของสารต่างๆ เช่น โปรตีน กรดอะมิโน และน้ำตาลในพืชผล จะช่วยปรับปรุงคุณภาพและผลผลิตของพืชผล
3.
การกำจัดใบและกำจัดวัชพืช: โคโรนาทีนสามารถใช้เป็นสารกำจัดใบได้ในระดับความเข้มข้นสูง และเหมาะสำหรับพืชผล เช่น ฝ้ายและพริก นอกจากนี้ ในระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้น โคโรนาไวรินยังมีฤทธิ์กำจัดวัชพืชได้อย่างกว้างขวางอีกด้วย
4.
ส่งเสริมการงอกของเมล็ด: โคโรนาตินสามารถเพิ่มอัตราการงอกของถั่วเหลืองในสภาพแวดล้อมอุณหภูมิต่ำ และทำให้การงอกมีความสม่ำเสมอและแข็งแรงมากขึ้น หลังจากแช่เมล็ดฝ้ายในคอร์โคตินแล้ว เมล็ดฝ้ายที่อยู่ภายใต้สภาวะเครียดจากเกลือจะแข็งแรงขึ้น ส่งเสริมการงอก การงอก และการเจริญเติบโตของต้นกล้า
5.
การเพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงของพืช: เมื่อใช้ในช่วงการงอกของพืช โคโรนาทีนสามารถเพิ่มการสะสมของสารต่างๆ เช่น โพรลีนในตาดอกใหม่ ส่งผลให้พืชมีความทนทานต่ออุณหภูมิต่ำมากขึ้น เมื่อใช้ในช่วงที่ผลเปลี่ยนสี สามารถเพิ่มอัตราการสังเคราะห์แสงของพืช และเพิ่มการสะสมของสารต่างๆ เช่น โปรตีน กรดอะมิโน น้ำตาล และรงควัตถุภายในพืช
สรุปได้ว่า โคโรนาทีนมีบทบาทสำคัญในการผลิตทางการเกษตร ช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผลได้ พร้อมทั้งเพิ่มความต้านทานต่อความเครียดของพืชผลอีกด้วย
เวลาโพสต์: 4 มิ.ย. 2568