สอบถามข้อมูล

หน้าที่และการประยุกต์ใช้ของสารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลต

สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตสารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตสามารถเร่งอัตราการเจริญเติบโต ทำลายภาวะพักตัว ส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ป้องกันดอกและผลร่วง ปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพิ่มผลผลิต และเพิ่มความต้านทานของพืช เช่น ความต้านทานต่อแมลง ความต้านทานต่อภัยแล้ง ความต้านทานต่อน้ำขัง ความต้านทานต่อความหนาวเย็น ความต้านทานต่อเกลือและด่าง และความต้านทานต่อการล้ม มีการใช้สารประกอบนี้อย่างแพร่หลายในพืชอาหาร พืชเศรษฐกิจ แตงและผลไม้ ผัก ไม้ผล พืชน้ำมัน และดอกไม้

สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตสามารถใช้ได้ทุกช่วงเวลาระหว่างการเพาะปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยว และสามารถใช้สำหรับการจุ่มเมล็ด การกลบในแปลง การพ่นใบ และการกระจายดอกตูม เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น ประสิทธิภาพสูง ความเป็นพิษต่ำ ไม่มีสารตกค้าง ใช้ได้หลากหลาย ไม่มีผลข้างเคียง และมีความเข้มข้นสูง จึงได้รับการส่งเสริมและนำไปใช้ในหลายประเทศและภูมิภาคทั่วโลก สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตยังใช้ในด้านปศุสัตว์และการประมง โดยช่วยเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของเนื้อสัตว์ ไข่ ขน และผิวหนัง อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของสัตว์และป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกด้วย

 t035cd8bc730542e753_副本

1. สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตช่วยส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารหลากหลายชนิดของพืชพร้อมกัน และขจัดภาวะการต่อต้านกันระหว่างปุ๋ยต่างๆ

2. สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลต ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของพืช กระตุ้นความต้องการปุ๋ย และต้านทานโรคซีสต์ในพืช

3. สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตจะละลายสิ่งกีดขวางค่า pH และเปลี่ยนแปลงค่า pH เพื่อให้พืชสามารถดูดซึมปุ๋ยได้อย่างสมบูรณ์ในสภาวะกรดและด่างที่เหมาะสม

4. ผสมโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตซึ่งเป็นปุ๋ยอนินทรีย์ ลงในปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อเอาชนะการที่พืชไม่ชอบปุ๋ยอนินทรีย์ ทำให้พืชดูดซึมได้ง่ายขึ้น

5. สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลต ช่วยเพิ่มการซึมผ่าน การยึดเกาะ และความแข็งแรงของปุ๋ย ทำลายข้อจำกัดของพืช และเพิ่มประสิทธิภาพในการนำปุ๋ยเข้าสู่ลำต้นของพืช

6. สารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลตช่วยเพิ่มอัตราการดูดซึมปุ๋ยของพืชและกระตุ้นให้พืชไม่ต้องการปุ๋ยอีกต่อไป

 

 

วิธีใช้และขนาดยาของสารประกอบโซเดียมไนโตรฟีนอลเลต

1. ปุ๋ยทางใบ 0.2-0.5 กรัมต่อไร่

2. การชะล้างและใส่ปุ๋ย 8-15 กรัมต่อไร่

3. ปุ๋ยเคมี (ปุ๋ยรองพื้น ปุ๋ยโรยหน้า) 6-20 กรัมต่อไร่


วันที่เผยแพร่: 21 มกราคม 2568